นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะลงพื้นที่จังหวัดนครปฐม เยี่ยมชมผลการดำเนินงานสหกรณ์โคนมกำแพงแสน พร้อมเป็นสักขีพยานการมอบโรงเรือนถอดประกอบได้และเครื่องสีข้าวให้แก่เกษตรกร

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรี และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดนครปฐม เยี่ยมชมสหกรณ์โคนมกำแพงแสน จำกัด ตำบลทุ่งลูกนก อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โดยมีนายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม พร้อมด้วย ข้าราชการ เกษตรกร และประชาชนให้การต้อนรับ จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้รับฟังการรายงานความเป็นมาและผลการดำเนินงานของสหกรณ์โคนมกำแพงแสน พร้อมทั้งเป็นสักขีพยานในโอกาสที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมมอบโรงเรือนถอดประกอบได้ รถไถ และเครื่องสีข้าวให้แก่เกษตรกร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมเป็นสักขีพยาน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้พบปะพูดคุยกับกลุ่มสมาชิกสหกรณ์และประชาชน จำนวน 600 คน โดยนายนัยฤทธิ์ จำเล ในนามตัวแทนคณะกรรมการและมวลสมาชิกสหกรณ์ โคนมกำแพงแสน จำกัด กล่าวว่า สหกรณ์โคนมกำแพงแสน จำกัด ได้รับการจดทะเบียนเป็นสหกรณ์ ปัจจุบันมีสมาชิกจำนวน 342 ครอบครัว รวบรวมน้ำนมดิบจากสมาชิกได้ วันละ 42 ตัน มีประชากรโคนมทั้งสิ้น จำนวน 9,406 ตัว จำนวนโคนมรีด 3,681 ตัว โดยในปี 2559 ที่ผ่านมา สหกรณ์มีผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิ จำนวน 26,600,000.-บาท ซึ่งการดำเนินงานของสหกรณ์ฯ มุ่งเน้นช่วยเหลือสมาชิกและเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในจังหวัดนครปฐม และใกล้เคียง ให้มีรายได้เพียงพอในการเลี้ยงครอบครัว และมีความมั่นคง ในการประกอบอาชีพ นอกจากนี้สหกรณ์ประสบปัญหาในการหาที่จำหน่ายน้ำนมดิบ ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของสมาชิกและสหกรณ์ในระยะยาว สหกรณ์จึงริเริ่มโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตนม ยู.เอช.ที ขนาด 3 ตันต่อชั่วโมง เพื่อต่อยอดธุรกิจและพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ โดยสหกรณ์มีการประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ทั้งสิ้นประมาณ 120 ล้านบาท แต่ปัจจุบันสหกรณ์ได้ขอกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อดำเนินการ ซึ่งได้รับการอนุมัติเงินกู้ เพียงจำนวน 70 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวสหกรณ์ฯ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องการหาแหล่งเงินทุน หรืองบประมาณเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงในอาชีพการเลี้ยงโคนมและสร้างให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง สมาชิกมีความเป็นอยู่ที่ดี และมีความ "มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” ต่อไป

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรี และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดนครปฐม เยี่ยมชมสหกรณ์โคนมกำแพงแสน จำกัด ตำบลทุ่งลูกนก อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โดยมีนายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม พร้อมด้วย ข้าราชการ เกษตรกร และประชาชนให้การต้อนรับ จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้รับฟังการรายงานความเป็นมาและผลการดำเนินงานของสหกรณ์โคนมกำแพงแสน พร้อมทั้งเป็นสักขีพยานในโอกาสที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมมอบโรงเรือนถอดประกอบได้ รถไถ และเครื่องสีข้าวให้แก่เกษตรกร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมเป็นสักขีพยาน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้พบปะพูดคุยกับกลุ่มสมาชิกสหกรณ์และประชาชน จำนวน 600 คน

นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะลงพื้นที่จังหวัดนครปฐม

โดยนายนัยฤทธิ์ จำเล ในนามตัวแทนคณะกรรมการและมวลสมาชิกสหกรณ์ โคนมกำแพงแสน จำกัด กล่าวว่า สหกรณ์โคนมกำแพงแสน จำกัด ได้รับการจดทะเบียนเป็นสหกรณ์ ปัจจุบันมีสมาชิกจำนวน 342 ครอบครัว รวบรวมน้ำนมดิบจากสมาชิกได้ วันละ 42 ตัน มีประชากรโคนมทั้งสิ้น จำนวน 9,406 ตัว จำนวนโคนมรีด 3,681 ตัว โดยในปี 2559 ที่ผ่านมา สหกรณ์มีผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิ จำนวน 26,600,000.-บาท ซึ่งการดำเนินงานของสหกรณ์ฯ มุ่งเน้นช่วยเหลือสมาชิกและเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในจังหวัดนครปฐม และใกล้เคียง ให้มีรายได้เพียงพอในการเลี้ยงครอบครัว และมีความมั่นคง ในการประกอบอาชีพ

นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะลงพื้นที่จังหวัดนครปฐม

นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะลงพื้นที่จังหวัดนครปฐม

นอกจากนี้สหกรณ์ประสบปัญหาในการหาที่จำหน่ายน้ำนมดิบ ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของสมาชิกและสหกรณ์ในระยะยาว สหกรณ์จึงริเริ่มโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตนม ยู.เอช.ที ขนาด 3 ตันต่อชั่วโมง เพื่อต่อยอดธุรกิจและพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ โดยสหกรณ์มีการประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ทั้งสิ้นประมาณ 120 ล้านบาท แต่ปัจจุบันสหกรณ์ได้ขอกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อดำเนินการ ซึ่งได้รับการอนุมัติเงินกู้ เพียงจำนวน 70 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวสหกรณ์ฯ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องการหาแหล่งเงินทุน หรืองบประมาณเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงในอาชีพการเลี้ยงโคนมและสร้างให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง สมาชิกมีความเป็นอยู่ที่ดี และมีความ “มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” ต่อไป

Related posts